ฝึกฝนตัวเองอย่างไรให้เป็น Graphic Designer ระดับมืออาชีพ?

วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์บนเส้นทางการเป็น Designer ว่าการจะไปสู่ระดับมืออาชีพนั้น เราควรเรียนรู้ และฝึกฝนอะไรบ้าง เพราะมักจะมีรุ่นน้อง เพื่อนที่ทำงาน หรือใครก็แล้วแต่มาถาม ซึ่งผมก็มักจะตอบสิ่งเหล่านี้ไปเสมอ เลยคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์มากยิ่งขึ้น ถ้าผมได้เขียนออกมา

blog_designexp1

อยากเก่งต้องช่างสังเกต

เพราะงานออกแบบต้องใช้ตาดู การดู การสังเกต และจดจำ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด Designer ที่เก่ง ต้องแยกออกว่าอะไรสวย อะไรไม่สวย อะไรเหมาะสม อะไรไม่เหมาะสม ดังนั้นควรจะฝึกด้วยการเสพงานออกแบบดีๆ ตามยุคสมัย ให้มากเท่าที่จะมากได้ มีเวลาว่างก็นั่งดู นั่งสังเกตเก็บรายละเอียดไป พยายามคิดลึกลงไปว่า ทำไมเขาถึงเลือกทำแบบนี้ จนเราเริ่มมองเห็นไปในทิศทางเดียวกันกับคนที่มีคุณภาพ นอกจากการดูงานออกแบบ อีกสิ่งหนึ่งที่ควรฝึกสังเกตก็คือธรรมชาติรอบๆ ตัว เช่นแสงสี เงา พื้นผิว รูปทรง และอื่นๆ เพื่อเข้าใจความเป็นธรรมชาติ และนำมาใช้ในงานออกแบบ

ทีนี้พอเวลานั่งทำงานของตัวเอง ได้ดูงานของตัวเอง จะมองออกทันทีว่างานของเรานั้นดีพอหรือยัง ขาดเกินอะไร แสงเงาดูเป็นธรรมชาติหรือไม่  เพราะเราฝึกการมอง การสังเกต จนเกิดเป็นภาพจำในหัวแล้วนั่นเอง

 

blog_designexp3

ใส่ใจรายละเอียด และความเป็นระเบียบ

ทุกๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำ ตั้งแต่การจัดระเบียบเลเยอร์ การตั้งชื่อเลเยอร์ การตั้งชื่อไฟล์ การเก็บไฟล์ในโฟลเดอร์ การจัดโฟลเดอร์บนเดสท็อป แม้แต่ความเป็นระเบียบของโต๊ะทำงาน เชื่อไหมว่าทุกอย่างที่บอกไปนั้น เป็นสิ่งที่จะบอกได้กรายๆ ว่างานออกแบบของคนคนนั้นมีความใส่ใจ และมีคุณภาพแค่ไหน เพราะการออกแบบนั้นเป็นเรื่องของการจัดวาง จัดระเบียบ วาง Grid วาง Guide หากได้เสพงานออกแบบดีๆ จะเห็นได้ชัดเลยว่ามันช่างดูเนี๊ยบ ดูพิถีพิถันจนไร้ที่ติ นั่นคือทุกๆ จุดเกิดจากการใส่ใจในรายละเอียด

บ่อยๆ ที่เห็นไฟล์งาน PSD ที่เลเยอร์มั่วมาก ชื่อก็ไม่ได้ตั้ง คือมีเป็นร้อยก็กองไว้อย่างนั้น สุดท้ายเวลาขอแก้ ก็เป็นเรื่องลำบาก และเสียเวลา ตรงนี้มันก็จะสะท้อนไปถึงงานออกแบบที่ทำออกมาเช่นกัน พยายามฝึกให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบ มันฝึกให้เรากลายเป็นคนใส่ใจ และจะส่งผลให้งานมีคุณภาพมากขึ้นแน่นอน

 

blog_designexp4

อย่าละเลยทฤษฎีพื้นฐาน

เชื่อว่า Designer หลายคนมักจะหลงลืม หรือมองข้ามทฤษฎีพื้นฐานของการออกแบบ จนบางครั้งงานที่ทำออกมาดูไม่ลงตัว จริงๆ แล้วไม่ได้อยากให้ยึดทฤษฎีพื้นฐานจนไม่กล้าฉีกแนว แต่ก่อนจะฉีกไปทางอื่น เราควรรู้ลึกรู้จริงเรื่องของทฤษฎีพื้นฐานเสียก่อน แล้วค่อยนำไปต่อยอดเป็นแบบของตัวเอง สำหรับผมมองว่างานออกแบบ Graphic ไม่ว่าจะเป็นสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ เว็บไซต์ แอพฯ หรืออะไรก็แล้วแต่ จะประกอบไปด้วยทฤษฎีพื้นฐานหลักๆ 3 อย่าง ที่เรียกได้ว่าถ้าแน่นใน 3 ทั้งอย่างนี้ รับรองว่าชีวิตเปลี่ยนแน่นอน

Composition (การจัดวางองค์ประกอบ)  นี่คือหัวใจของงานออกแบบเลย การจัดวางองค์ประกอบนี้ รวมถึงการใช้พื้นที่ ขนาด จุดเด่นของงาน และความสมดุล ที่เมื่อรวมกันแล้วออกมาเหมาะสม พื้นฐานข้อนี้แค่เป็นการนำส่วนประกอบของงานเช่น รูป ตัวหนังสือ ไอค่อน เนื้อหา มาเรียงลำดับให้ลงตัว และตอบโจทย์ อาจฟังดูเหมือนเป็นข้อที่ง่ายที่สุด แต่สำหรับผมมันคือยากที่สุด และสำคัญที่สุดของงานออกแบบ เพราะไม่ว่าคุณจะมีรูปสวยแค่ไหน ทำไอค่อนไว้สวยแค่ไหนก็ตาม หากนำมาจัดวางองค์ประกอบไม่ดี งานทั้งหมดก็คือพัง

Color (สี)  สีเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ความหมาย ให้ความรู้สึกต่องานออกแบบ และสีเป็นสิ่งแรกที่จะเตะตาคน การเลือกใช้สีจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งต้องเลือกให้เหมาะสมกับงานที่ทำ เช่นการเลือกสีโทนร้อนกับงานประเภทอาหาร จะช่วยให้คนรู้สึกน่ากินมากขึ้น และการใช้สีสำหรับการเน้นส่วนสำคัญ เลือกคู่สีที่ไม่ทำให้ดูกลืน ดูจม ซึ่งทฤษฎีสีนั้นมีให้ศึกษาได้ไม่จบไม่สิ้น และควรศึกษาพื้นฐานไว้ให้แน่น

Typography (ตัวหนังสือ)  งานออกแบบนั้นจะหนีไม่พ้นเรื่องการวางตัวหนังสือ การเลือกใช้ฟ้อนท์ สี ความเด่น ความง่ายต่อการอ่าน เมื่องานออกแบบของเราเรียกคนให้หันมามองได้แล้ว สิ่งต่อไปคือเขาจะอ่านสิ่งที่เราอยากนำเสนอได้ง่าย และชัดเจนแค่ไหน นั่นคือเรื่องของ Typography หลายคนทำงานสวยงานดี แต่มาตายตรง Typography ก็มีให้เห็นมากมาย

ดังนั้นหากมีเวลา ก็ควรลองศึกษาทบทวนทฤษฎีพื้นฐานเหล่านี้เอาไว้ นอกจากนี้ต้องศึกษาเทรนด์งานออกแบบตามยุคสมัยไปด้วย

 

blog_designexp2

อย่าลืมลงมือทำ

หลังจากฝึกดู สังเกต และจดจำ ก็ต้องลงมือทำ อยากลองทำอะไรก็เริ่มทำเลยโดยที่ไม่ต้องมีใครมาจ้างมาบอก เพราะงานจ้าง งานประจำ มักจะเป็นงานที่ถูกเปลี่ยนแปลง บิดเบือนไปจากสิ่งที่เป็นตัวเราเสมอ ดังนั้นหากมีเวลาว่างก็ให้ลองฝึกออกแบบไอ้นั่นไอ้นี่ดู เลือกเอาสิ่งที่ชอบที่สนใจ เราจะมีพลังในการทำมากขึ้น โดยอาจจะตั้งเป้าว่าใน 1 วันจะออกแบบงาน 1 ชิ้น โดยอาจจะเป็นแค่ Mock up สวยๆ หรือจะดัดแปลงจากสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้น จะได้ทำอะไรได้หลากหลาย เมื่อยิ่งได้ทำบ่อย เราก็จะยิ่งเก่ง ยิ่งเร็ว ยิ่งมีประสบการณ์ แถมยังมีผลงานหลากหลายเก็บไว้เป็น Portfolio อีกต่างหาก

 

สร้างตัวตนให้คนรู้จัก

หากเราทำงานมาถึงจุดหนึ่งที่มีผลงานดีๆ เป็นที่พอใจของตัวเองแล้ว ก็อย่าลืมที่จะเปิดเผยให้คนอื่นได้เห็นว่าตัวเราทำอะไรได้บ้าง อาจจะสร้างเว็บไซต์ส่วนตัว หรือโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คก็เป็นอะไรที่สะดวกสบายในการสร้างโอกาสให้กับตัวเอง วันหนึ่งคนที่เห็น และชอบสไตล์งานของเราเขาก็จะเข้ามาหาเรา


สร้าง Facebook แฟนเพจให้มีคนติดตามทะลุล้าน หัวใจหลักคือ Content

blog_fanpage_pic

ผมเริ่มสร้างแฟนเพจ TheHOUSE ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2010 สมัยที่ Facebook เพิ่งจะมีแฟนเพจได้ไม่นาน แฟนเพจ TheHOUSE สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นคอมมูนิตี้ของแฟนคลับเกม TheHOUSE ซึ่งในปี 2010 เพิ่งออกเกม TheHOUSE 2 ใหม่ๆ โดยผมได้ใส่ลิงค์มาที่แฟนเพจไว้ท้ายเกม ถ้าใครเล่นจบส่วนมากก็จะต้องตรงมาที่แฟนเพจ.. เวลาผ่านไป คนเริ่มเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งคนไทย คนต่างชาติ สมัยนั้นบอกตามตรงว่า ผมไม่รู้ว่าจะโพสต์คอนเท้นท์อะไรบนแฟนเพจดี ก็ได้แต่โพสต์เบื้องหลังเกม ภาพจากในเกม แชร์ข่าวเกมตัวเองจากเว็บไซต์ต่างๆ วนเวียนไป ซึ่งพอถึงจุดๆ หนึ่งที่เกมก็ยังไม่ได้ทำภาคใหม่ แฟนเพจเลยค่อนข้างเงียบ แต่ก็ยังมีคนหน้าใหม่ที่เพิ่งเคยเล่นเกมหลุดเข้ามาเรื่อยๆ

จนวันหนึ่ง ผมเริ่มรู้สึกว่าแฟนเพจ TheHOUSE มีคนติดตามอยู่จำนวนมาก แต่กลับน่าเสียดายถ้าจะไม่มีคอนเท้นท์อะไรป้อนให้ลูกเพจ ผมจึงเริ่มคิดที่จะปรับเปลี่ยนให้แฟนเพจ TheHOUSE นั้นกลายเป็น 'แฟนเพจเพื่อความบันเทิงแนวสยองขวัญ' โดยเริ่มจากการอัพเดทข่าวสาร และรีวิวหนังสยองขวัญ ทำกิจกรรมแจกบัตรดูหนังสยองขวัญรอบสื่อ ตามมาด้วยการเล่าประสบการณ์สยองขวัญเป็นประจำทุกๆ คืนก่อนนอน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคนสนใจอ่านกันเยอะมากๆ ทำให้เพจเริ่มโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด และผมก็ยังคงทำเรื่องสยองก่อนนอนมาโดยตลอด เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ทำให้มีสต๊อกเรื่องสยองกว่า 400+ เรื่องแล้วในปัจจุบัน จนสามารถนำมาแบ่งเป็นหมวดหมู่ลงใหม่เป็นอัลบั้มย่อยๆ ได้ หรือผมเองเป็นคนชอบดูหนังสยองขวัญทุกรูปแบบ ทั้งหนังผี หนังโหด และอื่นๆ ก็เอาความชอบตรงนี้มาจัดอันดับหนัง และให้คะแนนเป็นหมวดหมู่ย่อยๆ ได้อีก

พอทำคอนเท้นท์มาสักระยะหนึ่ง จะเริ่มเข้าใจว่า การที่คนจะกดแชร์อะไรสักอย่าง สิ่งนั้นจะต้องคุ้มค่าที่จะกด การจัดอัลบั้มรวมต่างๆ เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเห็นได้ชัดว่าคนจะชอบแชร์ คือแชร์ไว้ก่อนอ่านทีหลัง พอยิ่งแชร์เยอะ คนก็เห็นเยอะ ก็ยิ่งทวีคูณต่อไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื้อหาก็ต้องโอเคด้วยนะ ยิ่งเรื่องคำผิดนี่ก็สำคัญ เขียนผิดเยอะ ใช้คำผิด ก็จะยิ่งทำให้เราดูไม่น่าเชื่อถือ

blog_fanpage_sampleหัวใจของการที่แฟนเพจจะเติบโตได้เร็ว คือเราต้องสนใจมากๆ ชอบมากๆ กับสิ่งที่เราทำก่อน ต้องสุดโต่งไปในทางที่แฟนเพจเราเป็น อย่าง TheHOUSE คือเพจแนวสยองขวัญก็สยองไปให้สุด ต้องคอยคิดหาคอนเท้นท์ที่น่าสนใจลงอยู่เสมอๆ ไม่มีวันหยุด เมื่อวานว่าดีแล้ว พรุ่งนี้ต้องดีกว่า และต้องตามเทรนด์ ตามกระแสโลกออนไลน์ให้ทัน รู้จักมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกเพจ เพราะแฟนเพจที่มีคนติดตามมากๆ ก็เปรียบเหมือนกับสื่ออย่างหนึ่ง เหมือนดาราคนหนึ่ง ที่มีคนจับตาดูตลอดเวลา

พอคนเริ่มมาเยอะขึ้น เพจเป็นที่รู้จักมากขึ้น แน่นอนว่าจะต้องมีคนสนใจอยากใช้ช่องทางของเราในการลงโฆษณา

แฟนเพจ TheHOUSE กดที่นี่


มีหนังสือเล่มแรกเป็นของตัวเอง 'เล่าเรื่องสยองก่อนนอน' TheHOUSE

horror_book

หนังสือรวมประสบการณ์สุดหลอนของ ‘คนเห็นผี’ จากแฟนเพจที่มีคนติดตามอ่านมากกว่าล้านคนบนโลกออนไลน์

วันหนึ่ง ทางสำนักพิมพ์ Sofa Publishing ได้ติดต่อเข้ามาทางแฟนเพจ TheHOUSE ของผม เพื่อขอให้ช่วย PR และแจกหนังสือแนวสยองขวัญของทางสำนักพิมพ์ ซึ่งผมก็ตอบตกลงไป แล้วตอนนั้นทางเพจของผม ก็มีคอนเท้นท์เรื่องเล่าสยองขวัญที่ลงอยู่เป็นปกติทุกๆ คืนมากว่า 300 เรื่องแล้ว ในชื่อว่า 'เล่าเรื่องสยองก่อนนอน' ที่มีผู้ติดตามอ่านอยู่ค่อนข้างเยอะ ผมเลยลองเสนอถามทางสำนักพิมพ์ Sofa Publishing กลับไป ว่าผมมีสิ่งนี้อยู่ และอยากจะรวมเล่มเป็นหนังสือขาย ปรากฏว่าทางสำนักพิมพ์ก็สนใจ เพราะจุดแข็งของสำนักพิมพ์นี้คือนิยายสยองขวัญอยู่แล้ว และเรื่องสั้นจากประสบการณ์จริงถือเป็นสิ่งใหม่ที่สำนักพิมพ์ยังไม่เคยทำ ถือว่าเป็นโชคดีที่ได้โคจรมาพบกัน..

หนังสือ 'เล่าเรื่องสยองก่อนนอน' เล่มนี้เป็นการรวบรวมประสบการณ์ขนหัวลุกระดับ 10 กะโหลก จากแฟนเพจเพื่อความบันเทิงแนวสยองขวัญ TheHOUSE และเว็บไซต์ TheHOUSE.online ของผมเอง ที่ได้รับการกล่าวขานว่า 'หลอนที่สุดบนโลกออนไลน์ขณะนี้' โดยเรื่องราวทั้งหมดเป็นประสบการณ์จริงจากทางบ้าน ที่ถูกคัดเลือก และนำมาเรียบเรียงใหม่ เพื่อเพิ่มอรรถรสความสยองในระดับแม็กซ์!

horrorbook_pix

สำหรับตัวผมแล้ว เรื่องผี เรื่องวิญญาณนั้น ยังคงเป็นสิ่งที่คนให้ความสนใจ และอยากรู้อยากเห็นมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ หลายคนอาจจะเชื่อ หลายคนอาจจะไม่เชื่อ แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นแบบไหน สิ่งนี้มันจะท้าทายจิตใจคุณอยู่เสมอ ดังนั้น.. หากคุณเป็นคนที่ชอบเรื่องผี เรื่องวิญญาณแล้วล่ะก็ ผมกล้าบอกได้เต็มปากเลยว่า หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณหลอนจนนอนไม่หลับเลยทีเดียว

สุดท้าย อยากให้ทุกคนได้อ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยความบันเทิง จะล้อมวงเล่าเรื่องผีกับเพื่อน หรือจะอ่านคนเดียวก็หลอนไม่แพ้กัน ที่สำคัญโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านทุกครั้ง ขอให้สนุกกับเรื่องผีในแบบของ TheHOUSE นะครับ


ชื่อหนังสือ :  TheHOUSE เล่าเรื่องสยองก่อนนอน
สำนักพิมพ์ :  Sofa Publishing
ประเภท :  รวมเรื่องสั้น สยองขวัญ (พิมพ์ครั้งที่ 1 เมื่อ มิถุนายน 2559)
ราคา :  219.-


สนใจหาซื้อได้จากร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ (B2S, ซีเอ็ดบุ๊ค, ร้านนายอินทร์, ศูนย์หนังสือจุฬาฯ)

horrorbook_shops


สติกเกอร์ TheHOUSE ได้ทำขายใน LINE Official Store

blog_lineofficial_pic

ปี 2015 ช่วงก่อนเดือนตุลาคม เดือนแห่งเทศกาล Halloween ได้รับการติดต่อจาก LINE มาว่า 'อยากให้ทำสติกเกอร์ TheHOUSE ชุดใหม่ แบบอนิเมชั่น + เสียง เพื่อลงใน Official Store ช่วง Halloween' ตอนนั้นก็ตื่นเต้นมาก ว่าสติกเกอร์เราจะได้ไปลงขายใน Store หลักของ LINE จริงๆ ช่วงนั้นกำลังทำสติกเกอร์ TheHOUSE เซ็ต 2 ลง Creator Store อยู่พอดี เห็นโอกาสดีๆ แบบนี้มา ก็ต้องรับไว้ แล้วหลังจากนั้นก็นัดวันไปเซ็นสัญญากันที่บริษัท LINE ประเทศไทย

สำหรับการทำสติกเกอร์แบบอนิเมชั่นนั้น ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ด้วยเวลาที่มีน้อย ผมจึงตัดสินใจขอทำเป็นสติกเกอร์ภาพนิ่ง + เสียงแทน โดยเสียงนั้นเป็นเสียงจากการพากย์ของน้องเจน 100 เสียงนั่นเอง

LineSticker2-2

LINE Official Sticker กำหนดให้สติกเกอร์อนิเมชั่น หรือสติกเกอร์แบบมีเสียงก็แล้วแต่ มีจำนวน 24 ตัวต่อ 1 เซ็ต และตั้งราคาที่ 60 บาท โดยส่วนแบ่งรายได้ในรูปแบบ Official นี้ เราจะได้ 20% เท่านั้น และขายได้แค่ในประเทศไทยเท่านั้นด้วย อาจจะมองว่าทำไมถึงน้อย แล้วจะดีกว่า Creator Sticker ยังไง? จริงๆ ตอนแรกก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่พอมองอีกมุม การวางขายใน LINE Official Store นั้น คนจะเห็นได้เยอะกว่ามาก และจะมีการโปรโมทจาก LINE ให้อีก เรียกว่าวันแรกที่วางขาย LINE จะส่งเข้าแชท ส่งเข้า SMS ของเครือข่ายมือถือ เพื่อโฆษณาให้ ซึ่งจุดนี้มีมูลค่ามากจริงๆ ถือว่าส่วนแบ่งน้อยลงกว่า Creator Sticker แต่เป็นส่วนแบ่งจากเค้กที่ก้อนใหญ่กว่ามากนั่นเอง

แต่ในรูปแบบนี้ เราจะไม่สามารถเช็ครายได้ของเราแบบทันทีได้เหมือน Creator Sticker แล้ว จะรู้ยอดทีคือทุกๆ สิ้นเดือนเลย LINE จะส่งรายงานยอดขายมาให้ดู และโอนเงินเข้ามาให้

blog_lineofficial_contract

สติกเกอร์ TheHOUSE 2 กดที่นี่


เล่าประสบการณ์ทำ LINE Creator Sticker ขายครั้งแรก

blog_linecreator

เมื่อปี 2014 LINE ได้เปิดให้คนทั่วไปสามารถทำสติกเกอร์ขายได้ฟรีๆ เรียกว่า LINE Creator Sticker ถือเป็นเรื่องฮือฮามากๆ สำหรับดีไซน์เนอร์ นักวาดการ์ตูนทั้งหลาย รวมถึงคนทั่วๆ ไป ที่จะมีพื้นที่ให้โชว์ผลงาน แถมยังขายได้เงินอีกต่างหาก หรือบางคนก็อยากทำใช้เองก็สามารถทำได้ แล้วใครกันล่ะที่จะไม่สนใจ?

ผมเองก็เริ่มทำเป็นกลุ่มแรกๆ ของประเทศเลย โดยศึกษาขั้นตอนการสมัคร และข้อกำหนดต่างๆ ในการออกแบบตัวสติกเกอร์ รวมถึงคำพูด ข้อกำหนดค่อนข้างละเอียดอ่อน ข้อห้ามก็เยอะมากๆ เรียกว่าต้องระมัดระวังให้ดี เพราะการส่งเข้าไปให้ทางทีมงาน LINE ตรวจนั้น มีขั้นตอนมากมาย ต้องผ่านทั้งทีมงาน LINE ประเทศไทย และญี่ปุ่น ซึ่งใช้เวลานานมากกกก ตอนนั้นที่ผมทำเซ็ตแรก จำได้ว่ารวมๆ แล้วกินเวลาไปประมาณ 4 เดือน (เฉพาะการตรวจสอบ) แล้วพอตรวจเสร็จ ถ้าไม่ผ่าน เค้าก็จะบอกมาว่าให้แก้ตรงนั้นตรงนี้ เพราะอะไรๆ แล้วก็ต้องส่งกลับไปตรวจใหม่ กินเวลาไปอีกเกือบเดือน กว่าจะผ่านก็รอจนลืมกันเลยทีเดียว

LineSticker1-2

LINE Creator Sticker ชุดแรกที่ทำออกมา เป็นธีม TheHOUSE ของผมนั่นเอง ด้วยความที่ตอนนั้น LINE กำหนดให้ต้องเป็นภาพการ์ตูนเท่านั้น และต้องไม่โหดเลือดสาด ทุกอย่างสื่อสารไปในเชิงบวก และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายเลยออกมาเป็นแนวผี ตลก กวนๆ ซึ่งก็ได้การตอบรับที่ดี เพราะถือว่าเป็นสติกเกอร์แนวผีชุดแรกๆ ที่มีเลย

screen-shot-2016-11-17-at-16-20-00

การวางขาย Creator Sticker ของเรากับ LINE นั้น จะถูกกำหนดราคาไว้ที่เซ็ตละ 30 บาท โดยที่ 1 เซ็ตมี 40 ตัว (ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดใหม่แล้ว) และเราจะได้ส่วนแบ่ง 50% ของรายได้ (ปัจจุบันเหลือ 35% แล้ว)

พูดถึงระบบสถิติของ LINE Creator Sticker บ้างดีกว่า เป็นสิ่งที่ชอบมากๆ มันใช้ง่าย และละเอียดดี คือสามารถตรวจสอบยอดเงินแบบวินาทีต่อวินาทีได้เลย มีกราฟให้ดู มียอดสรุปให้เห็น แถมยังสามารถดูได้อีกว่า สติกเกอร์ตัวไหนในเซ็ตถูกใช้บ่อยที่สุด น้อยที่สุด และถ้าเราขายในหลายประเทศด้วย จะสามารถดูได้เลยว่า ประเทศไทยใช้สติกเกอร์เรามากที่สุด เพื่อเอาใช้ในการวิเคราะห์ และพัฒนาสติกเกอร์เซ็ตต่อไป

blog_linecreator_event

ผ่านไป 1 ปี LINE ได้จัดงาน 1st Anniversary LINE Creator Market ขึ้น ผมกับสติกเกอร์ TheHOUSE ได้รับเกียรติเป็น 1 ในสติกเกอร์ยอดนิยม ขึ้นไปให้สัมภาษณ์บนเวทีด้วย

สติกเกอร์ TheHOUSE (ไทย) กดที่นี่
TheHOUSE Sticker (English) Click

ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากจะทำสติกเกอร์ขาย หรือทำใช้เองบ้าง ก็ลองเข้าไปสมัครได้ที่ http://creator.line.me ได้เลย


ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเว็บไซต์แบบอินเตอร์แอคทีฟ ในนิตยสาร E-Commerce

blog_press1

เคยได้ให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารอยู่บ้าง แต่สำหรับนิตยสาร E-Commerce ฉบับเดือนพฤศจิกายน ปี 2010 ถือเป็นเล่มที่ชอบที่สุด เพราะได้ลงทั้งหน้าปก (เล็กๆ) และหน้าในสี่สีถึง 5 หน้า จะเป็นเรื่องของประสบการณ์การทำเว็บไซต์ในสไตล์อินเตอร์แอคทีฟ ที่มีการตอบโต้กับผู้ใช้งาน ทั้งอนิเมชั่น, ทรานซิชั่น, และเสียงประกอบ ที่ทำให้เว็บไซต์ดูตื่นเต้นน่าสนใจ

รวมถึงเล่าที่มาของการทำเกมบ้านผี TheHOUSE อินเตอร์แอคทีฟแนวสยองขวัญบนเว็บไซต์ ว่าเริ่มต้นมาจากอะไร มีจุดเด่นอะไร ทำไมคนถึงรู้จักกันไปทั่วโลกได้

blog_press2

ผมเรียนรู้ว่า จากการทำเล่นเพื่อความสนุกในเวลาว่างเพราะเป็นสิ่งที่ชอบ เราจึงทำอย่างตั้งใจ ใส่ใจลงไป และไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ มันมีคุณค่าบางอย่างซ่อนอยู่ จนวันหนึ่งมันก็จะคืนบางสิ่งให้กับเราโดยไม่รู้ตัว.. TheHOUSE ทำให้มีคนรู้จักผมมากขึ้น แล้วจากนั้นคนที่สนใจงานในแบบที่เป็นเรา เขาจะเข้ามาหาเราเอง ผมได้งานทำเว็บไซต์อินเตอร์แอคทีฟของหนังหลายเรื่อง ก็เพราะเขาเคยเห็น และชอบในงานของเรา

blog_press3

ดังนั้นถ้าหากอยากจะทำอะไรที่ชอบ ที่รัก ก็ให้รีบทำ และพอทำแล้วก็อย่าลืมหาพื้นที่ในการโชว์สิ่งที่คุณทำด้วยนะ ยิ่งสมัยนี้ ไม่งั้นมันก็จะไม่มีคนได้เห็น น่าเสียดาย..